ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด ตำหนิหลุยส์ รูเบียเลส ประธานสหพันธ์ฟุตบอลสเปนที่ตัดสินใจปลด ฆูเลน โลเปเตกี ระหว่างนำทีมชาติสเปนทำศึกฟุตบอลโลก 2018 อยู่ที่รัสเซียว่ากำลังขาดความเคารพสโมสรของเขาอยู่เรื่องราวความวุ่นวายเรื่มจาก โลเปเตกี ยอมรับตกลงรับงานคุมเรอัล มาดริด ฤดูกาลหน้า ไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จากนั้นหนึ่งวันให้กลังเขาก็ถูกสหพันธ์ฟุตบอลสเปนปลดพ้นจากตำแหน่งกลางอากาศ โดยแต่งตั้งให้เฟร์นานโด้ เอียร์โร่ เข้ามาคุมทีมแทน
ล่าสุด โลเปเตกี เปิดตัวทำสัญญา 3 ปีเข้ารับงานคุมเรอัล มาดริด อย่างเต็มตัวไปเมื่อวันพฤหัสบดี โดยหนึ่งในพิธีเปเรซได้แสดงทัศคติถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ของสหพันธ์ฯว่า
"เรามีข้อตกลงกับถูกตามกฏหมาย มันก็เหมือนปกติธรรมดาทั่วไป และจากนั้นเราคิดว่ามันควรจะมีการแถลงการณ์ต่อสาธารณชนระหว่างท่านประธานและฆูเลน โลเปเตกิ" เปเรซ แจง
"จากนั้นเรื่องมันผลิกผันกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความภาคภูมิใจของตัวท่านประธาน ผู้ซึ่งกำลังขาดความเคารพต่อเรอัล มาดริด"
"ดูเคสอย่างคอนเต้ หรือ ฟาน กาล และอีกมากมายหลายคนที่มีการตกลงกันไว้ก่อนหรือระหว่างการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น"
เปเรซ จวกต่อหลังรู้สึกว่าขณะนี้สโมสรกำลังถูกทางเอฟเอจ้องเล่นงานสโมสรด้วยการขู่เล่นงานทางกฎหมาย
"เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับคนที่พยายามจะทำงานสภาพลักษณ์ของพวกเรา" เปเรซ กล่าว
"เราต้องมาร่วมกันรับมือกับกระแสต่อต้านมาดริดดิสโม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่เรากำลังอยู่ในช่วงดีที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของสโมสร"
"ถึงตอนนี้เราเองก็ยังไม่เข้าใจว่า ข้อตกลงนี้มันไปส่งผลกระทบอะไรต่อนักเตะ ที่ต่างก็มีแรงผลักดันต้องการอยากจะเป็นแชมป์โลกอีกสักครั้ง ซึ่งมันเป็นความรู้สึกพื้นฐานที่เราทุกคนต้องการมันอยู่แล้ว"
นอกจากนี้ เปเรซ ยืนกรานว่า เรอัล มาดริด เลือกวิธีที่จะประกาศให้สาธารณชนรับทราบถึงข้อตกลงตั้งแต่ก่อนฟุตบอลโลก ดีกว่าจะปล่อยให้ทุกคนพากันคิดไปเองเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆที่จะเกิดขึ้น
"เราคิดกันว่าจะให้มีการทำข้อตกลงทุกอย่างให้แล้วเสร็จตั้งแต่ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม เพื่อความโปร่งใสไม่ต้องการให้ใครเอาเรื่องนี้ไปคาดการณ์กันเองเป็นข่าวลือต่างๆนานา"
"ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่กุนซือจะตอบตกลงรับงานคุมทีมหลังจากการแข่งขันเสร็จสิ้นลงแล้วเพื่อให้คนมาตีความคิดไปกันเองว่าการตกลงในครั้งนี้่มันทุจริต"
"ถ้าคุณคิดว่ามันคือเรื่องทุจริต และเราไม่ทำกันอย่างนี้ในศตวรรษที่ 21 ที่สเปน ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง"