การลงสนามในนาที 59 ของ คริสเตียน พูลิซิส ด้วยผลงานยิง 1 จ่าย 1 เปลี่ยนเกมที่ ลิเวอร์พูล กำลังขโยกอย่างเมามันด้วยสกอร์นำ เชลซี ขาดกระจุย 4-1 ให้กลายเป็น 4-3 แบบไม่ทันตั้งตัว
แต่เกมที่กำลังระทึกต้องยุติแทบจะทันทีหลัง เชลซี ที่กำลังขึง “หงส์แดง” หมายจะตีเสมอเจอโต้กลับแล้วเป็น OX ที่เป็นตัวสำรองลงมายิง 5-3 ก่อนหมดเวลา 6 นาที
เกมนี้หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงคือ เกป้า โดนยิงเข้ากรอบ 6 เสีย 5 คนที่ยิงในแอนฟิลด์ไม่ได้อย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ ยังมีชื่อ คนที่ถูก เดอะ ค็อป ร้องยี้ที่สุดอย่าง OX ก็ยังมีเอี่ยว
ประตูที่โดนอาจพูดได้ว่ามันก็ไม่ใช่เซฟง่ายๆแต่ที่แฟน “สิงห์บลู” รู้สึกว่าโกล์คนนี้ไม่ถูกชะตาคือปฏิกริยาการพุ่งเซฟเหมือนไม่เอาอะไรเลย
แนวรับจะเป็นอีกจุดที่ แลมพ์ ต้องเสริมแน่ๆครับเพราะเป็นทีม top 4 แต่โดนยิงไปแล้ว 54 ลูก เสียเยอะกว่าทีมอันดับ 16 อย่าง ไบรจ์ตัน เป็นตัวเลขที่ “ไม่อาจรับได้” หากพิจารณาจากการที่ เชลซี มองถึงแชมป์ลีกในซีซั่นหน้า
ลูกทีมของ แฟร็งค์ แลมพาร์ด ที่ขอแค่แต้มเดียวจาก 2 นัดและมีโอกาสให้แก้ตัวอีกครั้งในนัดสุดท้ายกับ วูลฟ์แฮมป์ตัน แต่เกมที่ แอนฟิลด์ แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาอยากให้มันรู้ผลในเกมนี้เลย เราจึงเห็นการวิ่งลืมตายไล่ตามหลัง “หงส์แดง” มาจน 4-3 แต่แนวรับเสียง่ายเกินไปยิงยังไงก็ไม่พอครับแบบนี้
การลากตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในวันที่บีบหัวใจกับ แมนฯยูไนเต็ด และ เลสเตอร์ ในการลงเล่นกับทีมที่ไม่น่าไว้วางใจอย่าง “หมาป่า” เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วครับ
คงไม่ผิดนักหากเราพูดกันว่าก่อนเกม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อาศัยการฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นแรงจูงใจที่เราแทบไม่ค่อยได้เห็นใน 2-3 นัดหลังที่เหมือนเล่นเอาฮา
ถ้าจะให้ขานชื่อนักเตะที่ดีที่สุดของ “หงส์แดง” นับตั้งแต่กลับมา restart เชื่อเหลือเกินว่า นาบิล เกอิต้า ยังไงยืนหนึ่งแน่นอน
การทำประตูสุดสวยในเกมกับ เชลซี เป็นแค่การย้ำให้เสียงมันดังขึ้นเฉยๆเพราะอดีตมิดฟิลด์ ไลปซิกส์ ฉายแววมาหลายๆนัดแล้วซึ่งผมก็เคยเขียนชมอยู่บ่อยครั้ง
กลายเป็นว่าแข้งวัย 25 ปีถือโอกาสช่วงพักเบรกโควิดฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังก่อนหน้านี้เหมือนตุ๊กตาล้มลุก เล่นแล้วเจ็บสลับไปมาแบบนี้จนแฟนบอลหงุดหงิดร้องให้ขายทิ้งด้วยซ้ำ
ถ้า เกอิต้า เล่นขยันไล่บอลชนิดติดเป็นนิสัย (ซึ่งแกทำได้ดีจนน่าตกใจมาก) ผมว่าตำแหน่งตัวจริงในซีซั่นหน้ามีภาษีดีกว่า ไวลจ์นัลดุม แน่นอนครับเพราะความครบเครื่อง การสร้างสรรค์เกม killer pass และล่าสุดที่เราเห็นกันไปแล้วคือศักยภาพการยิงประตูเหนือกว่า
สำหรับ เชลซี ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้พวกเขายังอยู่ในเงื่อนไขเดิมตั้งแต่ก่อนเจอ ลิเวอร์พูล ก็คือขอ 1 แต้มในวันสุดท้ายกับ วูลฟ์แฮมป์ตัน
ถ้าเชลซีได้ 1 แต้มคนที่มีปัญหาคือ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่จำเป็นต้องเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด ให้ได้เนื่องจากตอนนี้อยู่อันดับ 5 ตามหลัง 2 ทีมข้างบนอยู่ 1 แต้ม
ส่วน “ปีศาจแดง” ที่ตั้งใจจะปิดจ็อบในคืนเดียวกับ เชลซี แต่ดันพลาดท่าทำได้แค่เสมอกับ เวสต์แฮม ในสภาพที่ต้องบอกว่านักเตะในทีมแทบจะสิ้นลมจากการลงเตะอย่างหนัก
แต่ข้อได้เปรียบของ ยูไนเต็ด คือสามารถเล่นเพื่อเสมอก็เพียงพอแต่ผมว่าในเกมฟุตบอลการเล่นเพื่อเสมอมันไม่มีอยู่จริง มีแต่ต้องยิงให้ได้ก่อนเพื่อรับประกันว่าหาก เลสเตอร์ ยิงพวกเขาได้มันจะเป็นการ “ตีเสมอ” หาใช่ “ถูกขึ้นนำ”
เรียกว่าผลการแข่งขันในนัดที่ 37 ผูกปมสถานการณ์ของทั้ง 3 ทีมให้กลายเป็นงูกินหาง สูสีเบียดกันมากที่สุดหนหนึ่งในการชิงตั๋วฟุตบอลยุโรปเลยก็ว่าได้
ครับปิดท้ายกันที่ “หงส์แดง” อีกครั้ง ผมว่าการฉลองแชมป์อย่างชื่นมื่นในรูปแบบ new normal อาจช่วยให้ความ “หัวร้อน” ของ เดอะ ค็อป คลายลงมาบ้างเนื่องจากระแสเอือมระอาทีมรักหลังคว้าแชมป์มาตั้งแต่ไก่โห่มีเยอะเหลือเกิน
สำหรับผมก็อย่างที่บอกฤดูกาลนี้มีอะไรหลายอย่างที่ไม่ปกติ ช่วงเวลา, แฟนบอล, โรคระบาด, โปรแกรมถี่ ฯลฯ มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
ดังนั้นการที่ “ปิดงาน” คว้าแชมป์โดยเหลือถึง 7 นัด+ผลงานก่อนโควิดเราควรมองข้ามเรื่องหยุมหยิมด้วยการหันมาปรบมือและชื่นชมขุนพลชุดประวัติศาสตร์ทีมนี้ถึงจะถูกครับ
เอาไว้ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติแล้วมีประเด็นหนักๆที่ต้องชำแหละถึงเวลานั้นเดี๋ยวผมจัดให้ทีมแรกเลย...