เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น



ข่าว: SMF - Just Installed!




เชียร์บอล

ผู้เขียน หัวข้อ: บอกลาแชมป์แบบหมดสภาพ  (อ่าน 81 ครั้ง)

BigBoss555

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9605
    • ดูรายละเอียด
บอกลาแชมป์แบบหมดสภาพ
« เมื่อ: 25 เมษายน 2024 »

พังพินาศไม่เหลือเค้าเดิมจริงๆหลัง ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ เอฟเวอร์ตัน 2-0 และพูดได้ว่าหมดลุ้นแชมป์แบบไม่เป็นทางการไปแล้ว

ทุกอย่างที่เราเคยเห็นและปรับทุกข์กันมาตลอดวันนี้มีครบทุกอย่าง เพิ่มเติมคือนักเตะเล่นไร้ใจเหมือนปล่อยจอย จุกอกครับ!!

แทบไม่เคยมีความรู้สึกเชียร์ไม่ขึ้นเท่าเกมนี้มาก่อนเลยจริงๆให้ตายสิ

ถ้า “หงส์แดง” แสดงตัวตั้งแต่ต้นฤดูกาลว่าเล่นได้แค่นี้ผมจะเข้าใจและรับได้กับผลงานขึ้นๆลงๆนะ

แต่ในเมื่อเคยสร้างมาตรฐานให้แฟนบอลเห็นกันตั้ง 6-7 เดือน จู่ๆมา "บอกเลิก" แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงมันทำใจไม่ทันจริงๆ

แล้วสิ่งที่เป็นตอนนี้คือเราต้องมาเอาใจช่วยคอยลุ้นให้นักเตะอาชีพจับบอลให้อยู่คือแม่งอาการหนักมากแล้วนะ

ที่การันตีมีแน่ๆคือแจกประตูให้คู่แข่งทั้งๆที่ควรเคลียร์ทิ้งได้สบายๆตั้งแต่จังหวะแรกแต่กลับปล่อยให้มี 2-3 แถมดันล่กแย่งกันอีกเรียบร้อยสิครับ

เจ็บไปกว่านั้นคือ เวย์น รูนีย์ เด็กเก่า “เอฟ” ได้โอกาสบอกลูกนี้ แนวรับ “หงส์” เสียเหมือนพวกบอลเด็กนักเรียน ยอมรับแต่โดยดีจ้าาา

รวมถึงลูกยิงเหน่งๆจ่อๆที่จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการวางเท้าเลือกมุมเล่นทางมันยากแค่ไหนกันเชียว เน้นแรงเต็มข้อตรงตัวมันจะไปยิงอะไรใครเขา

ลูก 2-0 จากเตะมุมของ คัลเวิร์ต ลูวิน เป็นอาวุธที่ “ท๊อฟฟี่” จ้องเล่นงานอยู่แล้ว ไม่มีตัวประกบ ปล่อยให้เทคสูงเหมือนดังค์บาสจะเอาอะไรไปสู้เขา

ใครสังเกตไหมครับว่า โม ซาลาห์ กระโดดเหยงตะโกนแหกปากทันทีที่เสียประตูนี้

ใช่ครับ แกเป็นคนทำเสียบอลกลางสนามจนกระทั่งทีมเสียเตะมุม รายละเอียดเล็กน้อยที่เหมือนห่างไกลจุดอันตรายเกิดเป็นประตูในที่สุด

ในขณะที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ อำลา ลิเวอร์พูล ด้วยการแพ้เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ หนแรกนับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015 ชอกช้ำจริงๆ (นับเฉพาะพรีเมียร์ ถ้าทุกรายการแพ้เกมนี้หน 2)

ถึงแม้ทางทฤษฏียังเหลืออีก 4 เกมแต่ยังไม่ต้องถึงขนาดไปแช่งทีมอื่น เอาแค่ลำพังฟอร์มของ “หงส์” ตอนนี้คือไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ อาร์เซนอล และ แมนฯซิตี้ เขากำลังสู้กันอยู่

เอาล่ะครับ สิ่งที่ไม่อยากพูดแต่ก็ต้องพูดคือ เอฟเวอร์ตัน เขาเล่นดีคู่ควรกับชัยชนะในเกมนี้จริงๆ

วิธีการเล่นดูคุ้มๆเหมือนก๊อปปี้ “อตาลันต้า” โมเดล คุมติด 3 ตัวบน ตามเพรสพวกตัวได้บอลให้จ่ายลำบากแค่นี้ก็ไปไม่เป็นแล้ว

หลังกินน้ำใต้ศอกมานานชนิดที่เรียกว่าชนะ “หงส์” ในพรีเมียร์ลีกแค่ 1 จาก 26 เกม วันนี้ปลดแอกทั้งผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่นได้อย่างหมดจดจริงๆ

โอเคใครจะบอกว่า “หงส์” แพ้เพราะยิงไม่คมเอง จอร์แดน พิคฟอร์ด ต้องเซฟถึง 7 หน

แต่ผมอยากบอกว่าเจ้าบ้านเปลี่ยนวิธีการเล่นหลังพักครึ่งมากกว่า เขาได้ประตูที่ต้องการและไม่เพรสเหมือนเดิม รับต่ำ ยิงได้ยิงมาติดบล็อกติดเซฟ แนวรับมั่นใจอยู่ตรงไหนก็เกะกะไปหมด

ด้วยความเคารพ ให้เล่นต่อจนถึงวัน “แรงงาน” ผมเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ก็ยังยิงไม่ได้อยู่ดี

ณ ตอนนี้ไม่มีใครสุขเท่าชาว “เอฟเวอร์โตเนี่ยน” อีกแล้วครับ

ชนะเกมนี้นอกจากกำลังรอดตกชั้นแล้วยังแวะคลีนิคทำหมันเพื่อนร่วมเมืองให้เหลือแค่ถ้วย “น้าแอ๊ด” รายการเดียวอีกต่างหาก....

สถิติ สถิติ สถิติ

เอฟเวอร์ตัน ชนะ ลิเวอร์พูล ในกูดิสันพาร์คครั้งแรกในรอบ 14 ปีหลังหนสุดท้ายชนะ 2-0 เมื่อปี 2010

“ท๊อฟฟี่” ยุติการกินไข่ในการเจอกับ ลิเวอร์พูล ไว้ที่ 4 นัดซึ่งเคยเป็นตัวเลขที่แย่ที่สุดของพวกเขาหลังครั้งสุดท้ายเคยยิง “หงส์” ไม่ได้ถึง 9 เกมติดระหว่างปี 1972 - 1976

เยอร์เก้น คล็อปป์ อำลาลิเวอร์พูลด้วยสถิติในเมอร์ซีย์ไซด์ด้วยชัยชนะ 9 จาก 17 เกมที่เจอกัน (ทุกรายการ) โดยเสมออีก 6 และแพ้ 2

ลิเวอร์พูล แพ้ 2 จาก 3 เกมในพรีเมียร์ลีกทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นแพ้ 2 จาก 42 เกมเท่านั้นเอง (ชนะ 28 เสมอ 12)

“ท๊อฟฟี่” ขึ้นนำ “หงส์” ที่กูดิสันพาร์คในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013 (เสมอ 3-3) และยังเป็นครั้งแรกที่ยิงนำ 1-0 ในการเจอกับ ลิเวอร์พูล ในบ้านตัวเองนับตั้งแต่ปี 2010 (ชนะ 2-0)

ภายใต้การคุมทีมของ JK ลิเวอร์พูล ตามหลัง 1-0 ถึง 15 เกมในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มีเพียงฤดูกาล 2022/23 (16) ที่พวกเขาเสียประตูแรกในซีซั่นเดียวมากกว่า

โดมินิค คัลเวิร์ท ลูอิน ยิง 3 ประตูใน 4 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีกโดยก่อนหน้านี้กว่าจะยิงได้ 4 ประตูต้องลงเล่นมากถึง 28 เกมเลยทีเดียว