เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น



ข่าว: SMF - Just Installed!




เชียร์บอล

ผู้เขียน หัวข้อ: “พี่ตู้” โคตรตอบโจทย์ / “ยิ้ม” เองก็ลำบาก  (อ่าน 557 ครั้ง)

BigBoss555

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9665
    • ดูรายละเอียด

  ผมคาดการณ์ผิดแฮะ...ผมหมายถึงจากที่ดูรูปเกมแม้กระทั่งตอน แมนฯยูไนเต็ด ถูกขึ้นนำ 1-0 ก็ยังคิดว่า เซาธ์แฮมป์ตัน โดนซักลูกน่าจะเป๋ยาว

แต่ที่ไม่อยู่ในสมการความคิดที่ว่านี้คือนักเตะ “ปีศาจแดง” บางคนถูกกลืนกิน ”ตาย” ไปพร้อมๆกับลูกวิ่งสู้ฟัดของเจ้าถิ่น

เกมนี้จะเห็นได้ชัดว่าคู่กลาง ยูไนเต็ด ไม่เหมาะกับเกมลักษณะนี้เลยทั้ง มาติช และ เฟร็ด ทั้งคู่ช้าเกินไป กลายเป็นเป้าอันโอชะที่ฝั่งเจ้าถิ่นรอรุมแย่ง

ที่น่าแปลกคือ มาร์ซิยาล จู่ๆก็ลงตัวจริงส่วน กรีนวู้ด ถูกโยกไปเล่นทางขวา อยู่ไกลประตูความน่ากลัวหายไปซะงั้น

ก็รู้ๆกันอยู่ว่า “หมาก” เป็นประเภทไม่ “อิน” กับเกม เล่นเนือยๆ เจอพวกบ้าพลังก็ไม่ต้องหวังอะไรเลย ยืนอยู่ได้เกือบ 1 ชั่วโมงนี่ก็แปลกละ

3 นาทีแรกเจ้าถิ่นวิ่งบดตามเสียงเชียร์ พอ “รองแชมป์ยูโรป้า” ตั้งสติได้ก็เกือบขึ้นนำจากลูกขลุกขลิกเคลียร์บนเส้น จากนั้นรูปเกมก็กลับฝั่งอย่างรวดเร็ว

ถ้าสังเกตกันให้ดี “นักบุญ” มีช่วงเวลาของตัวเองราวๆ 2-3 wave กล่าวคือเมื่อการพาบอลมายังพื้นที่สุดท้ายของทีมเยือนได้เมื่อไหร่จะต่อยอดด้วยลูกฮีดทันที จนกระทั่งค่อยๆคลายตัวและถูก ยูไนเต็ด กลับมาขึงใหม่

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เตะมาตั้ง 75 นาที เซาธ์แฮมป์ตัน เพิ่งยิงเข้ากรอบหนที่ 2 จากจังหวะที่ แม็คไกวร์เหม่อจนถูกฉกแล้วเป็น เด เกอา เซฟช่วยชีวิตนั่นแหละฮะ

จริงๆจะบอกว่าเข้ากรอบหนแรกก็ได้นะเพราะลูก 1-0 มันแฉลบ “เฟร็ด”

วันนี้ดวงของ ยูไนเต็ด เหมือนไม่เป็นใจ ไอ้พวกลูกหน้าเขตโทษนัวเนียไม่ติดเซฟก็ติดบล็อก

จุดนึงก็ต้องชมแข้ง “นักบุญ” ด้วย รับกันเยอะมาก วิ่งเพรสกันไม่มีหมด เชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากซีซั่นก่อนนำ 2-0 แต่แพ้ 3-2 แถมต้อนรับแฟน คัมแบ็ค กลับสนามด้วย ประจวบเหมาะลงตัวถูกไปทุกอย่าง มันจังงังสั่นไปทั้งตัว

ส่วนแฟน “ผี” ที่หงุดหงิดกรรมการเรื่องการเข้าบอลหนักแล้วไม่ฟาว์ลน่าจะหัวอกเดียวกันกับเกมที่ แอนฟิลด์ เมื่อวันเสาร์

ผมคาดว่าอีกซัก 1-2 เดือน พรีเมียร์น่าจะตื่นตัวเพราะบริหารงานแบบ “ขับเคลื่อนด้วยการด่า” ตอนนี้เสียงยังไม่ดังพอ ต้องโดนกันครบทุกๆทีมก่อนถึง activate รอไปก่อนฮะ

เสมอนัดนี้แค่ “หงุดหงิด” ก็พอครับสำหรับแฟนผี คู่ต่อสู่มันคนละสไตล์ วันที่เจอ ลีดส์ นั่นก็เปิดแลกจนถังขี้กระจาย อันนี้มาเยือนเจออีกสไตล์ ยังไง “เฮียยิ้ม” ก็ยังอยู่อีกนาน เพิ่งต่อสัญญาใหม่ไป

แก้ตัวนัดเยือน วูลฟ์ วันอาทิตย์หน้าละกันครับ “หมาป่า” แพ้ 2 นัดรวด อารมณ์น่าจะเข้าที่เลย เดี๋ยวช่วยเชียร์

มาถึงคู่สุดท้ายที่ เอมิเรสต์ สเตเดียม บาปกรรมที่ว่ารวดเร็วติดจรวดก็ยังไม่ impact เท่าการลงสนามของ โรเมลู ลูกากู หอกป้ายแดงของ เชลซี

เป็น “จิ๊กซอว์” ที่ “สิงห์บลู” ชุดนี้หายไปจริงๆแลพูดแบบไม่กลัวล้อฟรีเลยว่าตอนนี้มีอาวุธสมบูรณ์พร้อมท้าชิงแชมป์กับ แมนฯซิตี้ เต็มตัวแล้ว

ซีซั่นก่อนทั้งตอน แฟร็งค์ แลมพาร์ด ยังอยู่และการมาของ โธมัส ทูเคิ่ล “สิงห์บลู” มีแนวรับกับแผงกลางที่ค่อนข้างลงตัวแต่มักมาตายตรงแนวรุกที่หาตัวมาจบสกอร์ลำบากมาก

ช่วงนั้นก็ขยันเปิดบอลเข้าเขตโทษด้วยนะ ติโม แวร์เนอร์ ตัวเท่าลูกหมา แค่ใช้ขายังยิงไม่แม่นยังจะไปหวังพึ่งหัวแต่ตอนนี้ระบบการเข้าทำมี “มิติ” และน่ากลัวสุดๆ

การเล่นของ ลูกากู ภาพชัดเจนมากคือแกพักบอลค้ำกับเซนเตอร์ เป็นการลำเลียงบอลกินแดนที่ทำให้มิดฟิลด์มารับช่วงต่อจากการพักบอลได้สบายๆ

ประตูแรก โควาซิช จึงมีเวลามองจากการพักบอลของ ลูกากู ก่อนเปิดย้อยให้ รีซ เจมส์ ที่หลุดมาโล่งๆเปิดให้กองหน้าค่าตัว 97.5 ล้านปอนด์ยิงเผาขน

เป็นการเริ่มต้นที่ ลูกากู และจบที่ ลูกากู เรียกว่าตอนสลัดหนีการประกบของ มารี เพื่อเข้าฮอร์สนี่เหมือนจักรยานมาบวกกับรถเมล์

ประตูลักษณะนี้เป็นเครื่องหมายการค้าของ “พี่ตู้” ลองหาคลิปตอนอยู่ อินเตอร์ มิลาน คือแบบนี้เป๊ะๆเลยครับ พักคืนให้เพื่อน เพื่อนย้อนออกริมขวาแล้วมารอจุดนัดพบ

ต้องขอบคุณ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ช่วยพัฒนาฝีเท้าการเล่นแบบ “พักบอล” คือกองหลังคนไหนเอาแกลงต้องโหดมากๆ น่าติดตามซีรีย์เรื่องนี้สุดๆครับ

พอเล่นไปเรื่อยๆ นักเตะ “ปืนใหญ่” รู้แล้วว่าทิ้ง พาโบล มารี ให้ดวลกับ ลูกากู คนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ ความพะว้าพะวงนี้เองที่ทำให้ เคียราน เทียร์นีย์ มักทิ้งตำแหน่งแบ็คซ้ายของตัวเองจน รีซ เจมส์ ได้บวกประตูที่ 2

ลูก 2 นี่ก็เป็น “พี่ตู้” นะครับที่กระโดดข้ามหลอกจนทุกคนเทมาที่แกก่อน เมาท์ แทงให้ เจมส์ แค่เกมแรกเราก็เห็นแล้วว่า เชลซี แสดงตัวว่า “พร้อม” แค่ไหนที่จะกลับมาทวงแชมป์ลีกหลังหนสุดท้ายที่ได้คือในซีซั่น 2016-17

ยอมรับเลยว่า ผมไม่ค่อย enjoy ตั้งแต่รู้ข่าวว่า ลูกากู กำลังกลับมา พรีเมียร์ คือก่อนหน้านี้ผมเคยรอเวลาให้ ดิดิเยร์ ดร็อกบา แขวนสตั๊ดมาแล้ว

จากนั้นก็ต้องมานั่งแช่ง “โปรเถื่อน” ดิเอโก้ คอสต้า พอหมดบุญพี่แกก็ดันมีตัวโคลนสไตล์นี้มาอีกเรื่อยๆ

นักเตะตัวใหญ่พิงบอลดี พาไปเองก็ได้ ยิงเองก็ดี นักเตะประเภทนี้ใครมีไว้อยู่กับทีมไม่ต่างอะไรกับเปิด “การ์ดทอง” คุณต้องเสียกำลังพลมากกว่า 1 แน่นอนในการล้มยักษ์ มันส่งผลกระทบต่อการเล่นของผู้เล่นในตำแหน่งอื่นๆเหมือนที่ อาร์เซนอล เป็นทีมแรกที่ยอม “มอบ” คาบ้าน

เหยื่อต่อไปคือ ลิเวอร์พูล ที่ Vvd และ เจ๊มาติ๊ป คงต้องอัดแก้สเต็มถังเตรียมเจอนรกแน่นอนครับ

จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจนของ มิเกล อาร์เตต้า วันนี้การขึ้นเกมรุกแบบนี้ให้เล่นทั้งวันก็ไม่น่าจะยิงอะไร เชลซี ได้

บอลเน้นออกปีกแล้วยังไงต่อ จะเปิดให้ใครล่ะครับในเมื่อ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ไม่ใช่พวกสูงใหญ่ แถมถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว แทบไม่มีบทบาทอะไร

ซาก้า อยู่ปีกซ้ายก็หมดสิทธิ์ลากตัดแล้วยิง ทำได้อย่างเดียวคือหาจังหวะเปิด แล้วดูหลัง เชลซี แต่ละตัว ไหนจะมีวิงแบ็คคอยตามขยี้อีก

ความเครียดของแฟน “ปืนใหญ่” ยังรอต่ออีกสัปดาห์หน้าครับเพราะดันต้องไปเยือน แมนฯซิตี้

เรียกว่าการแพ้เปิดหัวให้น้องใหม่ เบรท์ฟอร์ด ส่งผลยาวต่อโปรแกรมที่ถูกวางไว้เต็มๆ ติ๊ต่างว่าแพ้รวด 3 นัด คิวต่อไปเจอ นอริช ในบ้านตัวเอง นักเตะลงสนามแบกความกดดันตั้งเท่าไหร่ในเมื่อถูกคาดหวังว่าไม่มี 3 แต้มนี้ก็รอจบชีวิตได้เลย

เหมือนเดิมครับ เอาสถิติเบาๆมาทิ้งท้ายเป็นความรู้กัน

ลูกที่ ลูกากู ยิงใส่ อาร์เซนอล เป็นประตูที่ 114 ในพรีเมียร์ลีก ยึดอันดับ 20 ดาวซัลโวสูงสุดของลีกแทนที่ เอียน ไรท์ พร้อมขยับตัวเองเป็นแข้งต่างชาติคนที่ 8 ที่ยิงประตูทั้งในและนอกบ้านได้เกิน 50 ลูก

“พี่ตู้” ใช้เวลากว่า 9 ปี 360 วันเพื่อยิงประตูแรกให้ เชลซี หลัง debut นัดแรกเมื่อสิงหาคม ปี 2011

เชลซี เพิ่งชนะ อาร์เซนอล 3 จาก 14 เกมหลังสุดที่เจอกัน (ในทุกรายการ ที่เหลือเสมอ 5 แพ้ 6) โดย 3 นัดหลังแพ้มารวดทั้ง เอฟเอ คัพรอบชิง 2020 และ พรีเมียร์เหย้าเยือนซีซั่นก่อน

นี่คือความพ่ายแพ้เกมที่ 20 จาก 60 นัดใน พรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมทีมของ “พี่ต้า” และเมื่อเอาไปเทียบกับปรมาจารย์อย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ก็ต้องบอกว่า “เจ้ายังอ่อนหัด” เพราะตอนที่ “น้าเหี่ยว” แพ้เกมที่ 20 แกคุมไปแล้วถึง 116 นัด!!

ตลอดการอยู่ในลีกสูงสุด 118 ฤดูกาลนี่คือความพ่ายแพ้ 2 เกมรวดและยิงประตูไม่ได้หนแรกในประวัติศาสตร์ของ อาร์เซนอล ฟุตบอลคลับ

รีซ เจมส์ เป็นนักเตะ “สิงห์” คนที่ 2 ที่ทั้งยิงและจ่ายในเกมพรีเมียร์นัดเยือน อาร์เซนอล ต่อจาก ฆวน มาต้า ที่ทำได้เมื่อเดือนกันยายน 2012

แม้ทำได้แค่เสมอ “นักบุญ” แต่ แมนฯยูไนเต็ด ไม่แพ้ใครในเกมเยือนมา 27 นัดแล้ว (ชนะ 17 เสมอ 10) เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดนัดเยือนในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเคียงข้างกับเจ้าของเดิมอย่าง อาร์เซนอล ที่ทำไว้ระหว่าง เมษายน 2003 ถึง กันยายน 2004

เมสัน กรีนวู้ด เป็นแข้งดาวรุ่งรายที่ 4 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ที่ยิง 2 เกมเปิดหัวของซีซั่น คนแรกที่ทำได้คือ อลัน สมิธ สมัยเล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2000

“ไม้เขียว” ยิงไปแล้ว 19 ประตูในพรีเมียร์ลีกโดยมีแข้งดาวรุ่ง 3 รายเท่านั้นที่ยิงได้มากกว่าเจ้าหนูค่าย “ผีแดง” คือ ไมเคิ่ล โอเว่น (40), ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (35) และ เวย์น รูนีย์ (30)

พอล ป็อกบา เป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทำ 5 แอสซิสต์ใน 2 เกมแรกของซีซั่น

สเปอร์ส แพ้แค่หนเดียวจาก 44 เกมในลีกเมื่อใดก็ตามที่ เดลลี่ อัลลี่ ทำประตูได้ (ชนะ 34 เสมอ 9 แพ้ 1) โดยความพ่ายแพ้หนเดียวเกิดขึ้นคือการเจอกับ แมนฯยูไนเต็ด เมื่อเดือนธันวาคมปี 2019

“นักบุญ” ยังต้องรอคอยหาชัยชนะเหนือ ยูไนเต็ด ในบ้านตัวเองต่อไปเป็นเกมที่ 10 (เสมอ 4 แพ้ 6) แม้ว่ามีถึง 6 เกมที่ขึ้นนำไปก่อนด้วย

ครั้งสุดท้ายที่ แฮร์รี่ เคน นั่งสำรองคือเมื่อเดือนธันวาคม 2018 นัดเจอ เลสเตอร์